วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

คำสั่ง DOS ในระบบเครือข่าย ที่สำคัญ


IPConfig /all


          คำสั่ง IPConfig เป็นคำสั่งที่ใช้ในแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ network ภายในเครื่องเช่น ค่า IP address, MAC address , Gateway และก็ DNS        
          ขั้นตอนการเรียกใช้งานมีดังนี้
1.  คลิกปุ่ม Start > Run > พิมพ์ cmd เพื่อเรียกใช้งาน Command Prompt
2.  เมื่อปรากฏหน้าต่าง Command Prompt ให้พิมพ์คำสั่ง ipconfig วรรค /all เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ network ภายในเครื่อง
นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมที่นิยมใช้ร่วมกับคำสั่ง IPConfig ได้แก่
/? แสดง help ของคำสั่งนี้
/all แสดงรายละเอียดทั้งหมด
/release ยกเลิกหมายเลข IP ปัจจุบัน
/renew ขอหมายเลข IP ใหม่ ในกรณีที่เน็ตเวิร์คมีปัญหา เราอาจจะลองตรวจสอบได้โดยการใช้คำสั่งนี้ ซึ่งหากคำสั่งนี้ทำงานได้สำเร็จ แสดงว่าปัญหาไม่ได้มาจากระบบเครือข่าย แต่อาจจะเกิดจากซอฟท์แวร์ของเรา
/flushdns ขจัด DNS Resolver ออกจาก cache.
/registerdns ทำการ Refreshes DHCP ทั้งหมด และ registers DNS names ใหม่
/displaydns แสดง DNS Resolver ทั้งหมดที่มีในอยู่ Cache.
/showclassid แสดง class IDs ทั้งหมดที่ DHCP ยอมให้กับการ์ดแลนใบนี้
/setclassid แก้ไข dhcp class id.


Netstat


          คำสั่ง Netstat เป็นคำสั่งพื้นฐานของวินโดว์ที่ใช้แสดงการเชื่อมต่อจากที่ต่างๆออกมาทั้งหมดออกมาไม่ว่าจะมาจากโปรโตคอล  TCP, UDP, ICMP และอื่นๆ รวมไปถึงหมายเลขพอร์ตและ IP ของผู้ติดต่อ ออกมาให้ดูเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบการเชื่อมต่อของเครื่อง
           ขั้นตอนการเรียกใช้งานมีดังนี้
1.  Start > Run
2.  พิมพ์คำสั่งคำว่า cmd ลงไปแล้วกด OK
3.  จะได้หน้าจอ Command Prompt ออกมา
4.  ให้เราทดลองพิมพ์คำสั่งคำว่า netstat ลงไปแล้วจะได้ผลลัพธ์อย่างภาพซึ่งในแต่ละเครื่องจะไม่เหมือนกันแล้วแต่การเชื่อมต่อที่เราได้เชื่อมต่อเอาไว้โดยหลักๆก็จะมีข้อมูลดังต่อไปนี้
          Proto คือโปรโตคอลที่กำลังใช้งานอยู่จะมี TCP และ UDP เป็นหลัก
          Local Address (ค่า IP หรือชื่อเครื่อง:พอร์ตที่ใช้งานอยู่) คือจะแสดง หมายเลข IP ของเรา (ในที่นี้เป็นชื่อเครื่อง)  และพอร์ตที่ลังใช้งานอยู่
          Foreign Address (ค่า IP หรือชื่อเครื่อง:พอร์ตที่ใช้ติดต่ออยู่): อันนี้จะแสดงชื่อหรือ IP addressของเครื่องที่เรา    กำลังติดต่ออยู่ด้วย และหมายเลขพอร์ตที่เราใช้เชื่อมต่อนั้นๆ
           State คือ สถานะของการเชื่อมต่อของ netstat นั้นๆจะมีอยู่ด้วยกัน 4 สถานะหลักๆได้แก่
                         1. Established เป็นสถานะที่บอกว่าเครื่องนั้นๆได้เกิดการเชื่อมต่อกับ IP address ปลายทางด้วยพอร์ตหมายเลขนั้นแล้ว ซึ่งสถานะนี้เป็นสถานะที่เกิดได้ทั่วไปเพราะการเชื่อมต่อใน internet นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาอยู่แล้วแต่ถึงอย่างไรก็ตามเราควรตรวจสอบให้ดีเพราะมีบางพอร์ตที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะมีการเชื่อมต่ออยู่เช่นพอร์ต 23 ซึ่งเป็นพอร์ตของ telnet ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้นไม่มีใครใช้กันสักเท่าไร และที่สำคัญอีกอย่างสำหรับสถานะ Established ก็คือควรตรวจสอบก่อนว่าเราไม่ได้ connect ไปหา IP address แปลกๆเข้าให้เพราะว่าบางที่นั้นอาจเป็นเพราะว่าในเครื่องของเราลักลอบติดต่อไปด้วยโปรแกรมอันตรายอย่าง Trojan อยู่ก็เป็นไปได้
                         2. Time_wait คือสถานะที่รอการเชื่อมต่อกลับมาอยู่หรือถ้าเราจะมองในแง่ร้ายสุดๆก็คือโดนสแกนพอร์ตอยู่
                         3. Listening คือยังไม่มีเครื่องใดติดต่อมาหรือว่ากำลังรอการเชื่อมต่ออยู่นั้นเอง
                         4. Close_wait คือปิดการเชื่อมต่อปกติจะไม่พบมากสำหรับสถานะนี้
และสถานะอื่นๆที่อาจพบได้แก่ SYN_SENT , FIN_WAIT เป็นต้น

            ตรวจสอบโดยมีพารามิเตอร์ต่างๆดังนี้
Netstat –a ดูรายการทั้งหมด
Netstat –e ดูสถิติของการใช้เครือข่าย
Netstat –n เป็นการแสดงตำแหน่งและพอร์ตแบบเป็นหมายเลข
Netstat –p proto กำหนดโปรโตคอลที่ต้องการตรวจสอบ
Netstat –r ดู Routing Table
Netstat –s ดูสถิติของ IP
Netstat 5 เป็นการกำหนดรอบในการดูข้อมูล

Tracert 


            คำสั่ง Tracert  เป็นคำสั่งที่สามารถแสดงให้เห็นถึงเส้นทาง พร้อมข้อมูลรายละเอียดของอุปกรณ์ค้นหาเส้นทาง(router) ที่ packet ถูกส่งผ่าน จากต้นทาง(เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สั่งคำสั่งนี้) ไปยังปลายทางที่ถูกระบุไว้  คำสั่งนี้ใช้ใน command line ซึ่งติดตั้งมาให้แล้วในระบบปฏิบัติการ Windows (ถ้าเป็นระบบปฎิบัติการ Linux จะเทียบเท่ากับคำสั่ง traceroute)

            รูปแบบคำสั่งคือ “tracert ” เช่น “tracert www.etda.or.th” หรือ “tracert nrca.go.th” หรือ “tracert 200.0.0.1”

            คำสั่ง tracert ใช้โปรโตคอล ICMP ซึ่งทำงานอยู่ใน Layer3 ของ OSI model (The Open Systems Interconnection model) อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากค่า TTL(Time To Live) ซึ่งเป็นฟิวส์หนึ่งใน IP packet ที่เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ packet ในระบบเครือข่ายมีวันหมดอายุ

           การทำงาน TTL เกิดขึ้นเมื่อ IP packet ส่งผ่านไปยัง router ใด ๆ ในเส้นทางเพื่อไปยังปลายทาง router นั้น ๆ จะลดค่า TTL ของ packet ลง 1   เมื่อค่า TTL ลดลงเหลือ 0   router ดังกล่าวจะ drop packet ทิ้ง   ด้วยวิธีการนี้จึงทำให้ไม่มี packet ตกค้างในระบบ network  
            Tracert อาศัยการทำงานของ TTL โดยจะส่ง ICMP echo request packet ไปยัง host ที่ต้องการ ด้วยการเซตค่า TTL=1 ในครั้งแรก TTL=2 ในครั้งถัดมา จากนั้นเซต TTL=3 และจะเพิ่มค่า TTL ไปเรื่อย ๆ (ค่าสูงสุดของ TTL คือ 255) จนกระทั่งปลายทางเป็น IP ของ host ที่ต้องการ  “TTL expired in transit” packet จะถูกส่งกลับมาจาก router ที่ทำการลดค่า TTL ลงเหลือ 0   ในที่สุดเมื่อ ICMP echo request packet ถูกส่งไปถึง host ปลายทาง host จะตอบกลับมาด้วย ICMP echo reply packet เป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการ tracert หนึ่งครั้ง 
            ดังนั้นโปรแกรม tracert จึงสามารถแสดงรายละเอียดเป็น IP หรือ ชื่อของ router (ในลักษณะ domain เช่น g1-1-router1.etda.or.th) และแสดงระยะเวลา round trip time ได้

Ping


            คำสั่ง  Ping  เป็นคำสั่งที่ใช้ในการทดสอบสถานะการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายว่าขณะนั้นคุณสามารถเชื่อมต่อกับเป้าหมายปลายทางได้หรือไม่ คำว่า เป้าหมายปลายทาง “  คือ  เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่สามารถกำหนดหมายเลข  IP Address ได้  ชื่อของเครื่องหรืออุปกรณ์ในระบบเครือข่าย  ,   ชื่อของเว็บไซต์  เป็นต้น รูปแบบของคำสั่งใช้งานได้ตามตัวอย่าง คือ
            ตัวอย่างที่ 1
            Ping 192.168.9.63     หรือ    Ping 209.131.36.158      
            ตัวอย่างที่ 2
            Ping PC20   หรือ  Ping My_PC
            ตัวอย่างที่ 3
            Ping  www.google.com   หรือ   Ping www.tpa.ot.th

           ขั้นตอนการเรียกใช้งานมีดังนี้
1. คลิกเมนู Start
2. คลิกเลือกคำสั่ง Run
3. พิมพ์คำว่า cmd และกดปุ่ม enter ตาม
4. จะได้หน้าต่างสีดำ
5. ให้พิมพ์คำว่า ping www. google.com

            ผลลัพธ์ที่ได้จากคำสั่ง  Ping
1. ผลลัพธ์ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ Reply  from “ หมายความว่า คุณสามารถติดต่อกับเป้าหมายปลายทางได้
2. ผลลัพธ์ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ Request  timed  out  “ หมายความว่า คุณไม่สามารถติดต่อกับเป้าหมายปลายทางอาจจะมีปัญหาทางฝั่งปลายทางหรือทางฝั่งคุณเอง   ซึ่งปัญหาอาจจะเกิดจากอุปกรณ์หรือเกิดความหนาแน่นของการสื่อสารในระบบเครือข่ายเพราะมีคนใช้งานมาก และคุณอาจจะได้ผลลัพธ์ ทั้งข้อ 1 และ ข้อ 2 สลับกันไปมา ดังนั้น  หากคุณเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไม่ได้หรือเข้าเว็บไซต์ไม่ได้ให้คุณใช้คำสั่ง  Ping   ถ้าได้ผลลัพธ์เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ “ Reply  from “  แสดงว่ามีปัญหาให้คุณแจ้งข้อความ  error  ให้ผู้ดูแลระบบของหน่วยงานทราบเพื่อเป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหา  เพราะข้อความ  error  จะบอกให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยซึ่งผู้ดูแลระบบเครือข่ายจะเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น